เด็ก 10 ขวบกตัญญูรับจ้างบวชหน้าไฟเอาเงินมาช่วยเหลือแม่ที่ตาบอด

Posted on 11 มิถุนายน 202011 มิถุนายน 2020Categories ข่าวที่น่าสนใจTags ,

         เหตุการณ์เกิดความประทับใจในครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อมีผู้ใช้ Facebook รายหนึ่งได้มีการโพสต์ภาพเด็กชายคนหนึ่งด้วยวัยเพียงแค่ 10 ขวบเท่านั้นโดยในภาพมีการระบุว่าเด็กชายคนดังกล่าวนั้นชื่อว่าน้องชานุพงศ์ซึ่งน้องนั้นเป็นเด็กดีอย่างมากเนื่องจากว่าแม่ของน้องนั้นตาบอดมองไม่เห็นน้องจึงเป็นคนที่หาเลี้ยงแม่โดยรับจ้างทั่วไปหากใครมีการใช้ให้ทำงานบ้านหรือจ้างไปซื้อของก็จะทำหมดและยังมารับจ้างบวชหน้าไฟซึ่งจะได้ค่าบวชในครั้งนั้น 300 บาทเด็กชายภานุพงษ์ก็จะนำเงินที่บวชนั้นไปให้แม่ทั้งหมดหลังจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้สร้างความประทับใจให้กับคนที่ได้อ่านเป็นอย่างมาก

ทางด้านนักข่าวจึงได้มีการลงพื้นที่ไปสอบถามข้อมูลก็ปรากฏว่าแม่ของเด็กนั้นเดิมทีเคยทำงานเป็นพนักงานล้างจานอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่งเมื่อ 10 ปีที่แล้วแต่ว่าช่วงดังว่ะนั้นมีวัยรุ่นตีกันในร้านอาหารและเธอโดนลูกหลงจากการถูกอาวุธปืนของวัยรุ่นทำให้ตาบอดข้างหนึ่งหลังจากนั้นเธอก็หาเลี้ยงลูกด้วยมาด้วยตัวคนเดียวของเธอจนเมื่อประมาณ 4 เดือนที่แล้วปรากฏว่าตาอีกข้างนึงของเธอนั้น

เริ่มเลือนลางมองไม่เห็นเจอในที่สุดเธอก็ตาบอดทั้งสองข้างจึงไม่สามารถออกไปทำงานได้ลูกชายของเธอที่อายุ 10 ขวบนั้นจึงได้ออกมาช่วยทำงานเพื่อหาเลี้ยงดูเธอโดยหากเด็กชายภาณุพงศ์หาเงินมาได้เท่าไหร่เธอก็จะเอามาให้แม่ทั้งหมดหลังจากนั้นถ้าเธออยากได้อะไรเด็กชายชนะพลก็จะไปขอแม่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ซึ่งปัจจุบันนี้ทั้งคู่อยู่กับลูกสาวคนโตของแม่อนุพงษ์แต่ว่าอาศัยอยู่ด้านล่างของตัวบ้านและเมื่อนักข่าวไปสอบถามเด็กชายภานุพงษ์ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเขาก็บอกแต่เพียงว่าเขาต้องการหาเงินช่วยแม่เนื่องจากแม่นั้นตาไม่เห็นเมื่อนักข่าวถามถึงเรื่องของอยากได้อะไรเหมือนกับเด็กคนอื่นหรือไม่เด็กชายภานุพงศ์ก็ตอบว่าเขาก็เขาก็เป็นเด็กและเขาก็อยากได้ทุกอย่างเหมือนกับที่เด็กคนอื่น

อยากได้เหมือนกันแต่เขาไม่สามารถเอาทุกอย่างได้เพราะเขาต้องเก็บเงินไว้ให้แม่ใช้และเขาต้องเก็บเงินเอาไว้ไปโรงเรียนเพราะใกล้จะเปิดเทอมแล้วแต่ชุดนักเรียนและอุปกรณ์การเรียนของเขายังไม่มีเลยซึ่งเรื่องราวที่เขาให้สัมภาษณ์นักข่าวนี้ทำให้นักข่าวเกิดความรู้สึกประทับใจในตัวเด็กคนนี้มากที่รู้จักขยันทำงานและรู้จักคิดรู้จักใช้เงินเป็นอย่างไรก็ตามถ้าใครอยากจะช่วยเหลือเด็กชายชาณุพงศ์และแม่ของเขานั้นสามารถที่จะทำการโอนเงินเข้าบัญชีซึ่งเป็นบัญชีของเด็กชายชานุพงศ์เอง

 

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  sa game vip

ชายชรา อายุ 70 ปี อาชีพเก็บของเก่าขายเกิดลมชัก

Posted on 6 มิถุนายน 20206 มิถุนายน 2020Categories ข่าวที่น่าสนใจTags ,

ชายชรา อายุ 70 ปี อาชีพเก็บของเก่าขายเกิดลมชักเพราะอากาศร้อนทำให้ผู้หมดสติจมน้ำเสียชีวิต

           จังหวัดปทุมธานีตรงบริเวณริมถนนเลียบคลองถ้ำตะบันเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งเหตุว่าตรงบริเวณดังกล่าวนั้นมีคนพบศพนอนเสียชีวิตอยู่ตรงข้างถนนตรงบริเวณคูน้ำซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 มิถุนายนปี พ.ศ.2563 เวลาที่เกิดเหตุคือประมาณบ่าย 14:30 น. ซึ่งเมื่อ เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางไปถึง ไม่พบผู้ใหญ่บ้านกำลังยืนรอเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ตรงจุดเกิดเหตุ

โดยทางผู้ใหญ่บ้านแจ้งว่าขณะที่ตัวเองกำลังอยู่ที่บ้านนั้นได้มีชาวบ้านโทรเข้าไปแจ้งว่ามีคนพบศพผู้เสียชีวิตอยู่ตรงคูน้ำริมถนนจึงได้เดินทางมาดูซิว่ามาถึงก็พบว่ามีศพของชายชรานอนเสียชีวิตข้างหน้าอยู่ในภูมินั้นจริงและตรงด้านบนริมถนนนั้นก็มีรถเข็นขายของเก่าจอดทิ้งเอาไว้อยู่ซึ่งทางผู้ใหญ่บ้านแจ้งว่าชายชรา

ที่เสียชีวิตนั้น ชาวบ้านรู้จักกันดีในนามที่ชื่อว่านายตี๋ซึ่งคาดว่าน่าจะอายุประมาณ 70 ปีแต่ไม่มีใครรู้ว่านายตี๋นั้นพักอาศัยอยู่ที่ไหนหรืออยู่กับใครเพราะทุกคนจะเห็นแค่ว่านายตี๋จะเดินมาหาของเก่าแถวบริเวณในหมู่บ้านและแถวนี้อยู่เป็นประจำซึ่งทางผู้ใหญ่บ้านบอกว่าโดยปกติแล้วในสีมีโรคประจำตัวก็คือโรคลมชักเพราะชาวบ้านในวัยนี้มักจะพบว่านายตี๋มีอาการลมชักอยู่บ่อยครั้งซึ่งชาวบ้านหลายคนก็เคยช่วยนายตี๋มาแล้วอยู่บ่อยๆซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ทางผู้ใหญ่บ้านเอง

ก็สันนิษฐานว่านายตี๋อาจจะเป็นโรคลมชักกำเริบก็ได้เพราะว่าวันนี้อากาศร้อนแล้วบังเอิญว่าตรงจุดที่นายตี๋เป็นโรคลมชักนั้นไม่มีคนอยู่จึงไม่มีใครช่วยเหลือได้ทันท่วงทีซึ่งหลังจากที่เป็นโรคลมชักแล้วอาจจะขึ้นตกลงมาตรงคูน้ำพอดีทำให้หน้าคว่ำลงไปในน้ำแล้วทำให้เสียชีวิตได้  อย่างไรก็ตามเบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการให้กู้ภัยนำร่างของนายตี๋ไปส่งที่โรงพยาบาลเพื่อชันสูตรศพอีกรอบหนึ่งและก็จะมีการตามหาญาติพี่น้องของนายตี๋เพื่อให้มารับศพนายตี๋ไปบำเพ็ญกุศลต่อไป

         อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ในครั้งนี้อาจจะเกิดขึ้นเพราะว่าอากาศที่ร้อนจนเกินไปและผู้เสียชีวิตนั้นก็ อายุมากแล้วและยังต้องมาทำงานกลางแดดร้อนร้อนจึงทำให้อาจจะมีปัญหาในเรื่องของการเป็นลมและที่สำคัญทางผู้ใหญ่บ้านเองก็บอกว่าชายชรานั้นมีโรคประจำตัวเป็นโรคลมชักด้วยดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าระหว่างที่มีอาการกำเริบของโรคลมชักแล้วไม่มีคนอยู่พอดีจึงทำให้กลิ้งตกลงไปในคูน้ำจมน้ำเสียชีวิตนั่นเอง

 

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย  เว็บพนันออนไลน์

ชาวผูกคอเสียชีวิตภายในวันเดียวถึง 3 คนในจังหวัดนครศรีธรรมราช 

Posted on 5 มิถุนายน 20205 มิถุนายน 2020Categories ข่าวที่น่าสนใจTags ,

     เจ้าหน้าที่ตำรวจจังหวัดนครศรีธรรมราชได้รับแจ้งเหตุจากชาวบ้านว่ามีคนผูกคอเสียชีวิตซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นในวันที่ 4 เดือนมิถุนายนปีพศ2563 โดยการรับแจ้งเหตุในครั้งนี้มีการแจ้งเหตุทั้งหมด 3 เคสด้วยกันซึ่งในเคสแรกนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางไปที่ตำบลช้างซ้ายอำเภอพระพรหมในเวลาประมาณ 14:00 นตรงซึ่งบริเวณจุดเกิดเหตุนั้นจะเป็นบริเวณป่าละเมาะริมคลองชลประทาน เบอร์โทรเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางไปถึงก็พบศพผู้ชายเสียชีวิตจากการสอบสวนทราบว่าผู้เสียชีวิตนั้น

คือนายสุภาพโดยเขาได้เอาเสื้อมาปลูกกับต้นไม้และแขวนคอตัวเองและจากการตรวจสอบพบว่าตายมาแล้วประมาณ 3 ชั่วโมงซึ่งจากการสอบสวนเบื้องต้นพบว่าในสภาพนั้นติดคุกแล้วเพิ่งออกจากห้องขังมาเมื่อกลับมาถึงบ้านว่าภรรยาของตนเองนั้นหนีไปอยู่กับผู้ชายคนอื่นแล้วทำให้เขาเสียใจจึงกลับมาอยู่ที่บ้านกับพ่อแม่และมาผูกคอเสียชีวิ

ตายดังกล่าวนั้นเองซึ่งตำรวจสันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากความน้อยใจที่พระยาทิ้งเกิดเวลาไล่เลี่ยกันไม่นานนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เดินทางไปที่ตำบลท้องลำเจียกอำเภอเชียรใหญ่ที่นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งว่ามีผู้ชายผูกคอเสียชีวิตไปในบ้านพักของตนเองซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าผู้เสียชีวิตนั้นชื่อว่านายน้อยชนะและตายมาแล้วไม่ต่ำกว่า 4 ชั่วโมง

ทางญาติได้เล่าให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจฟังว่านายน้อยชนะนั้นน่าจะฆ่าตัวตายเนื่องจากความเครียดที่ตนเองนั้นเป็นโรคไทรอยด์โดยนายน้อยฉะนั้นเป็นโรคชนิดนี้มานานแล้วรักษาอย่างไรก็ไม่หายสักทีดังนั้นทางญาติและตำรวจจึงสันนิษฐานว่านายน้อยฉะนั้นอาจจะเกิดความเครียดเกี่ยวกับการเป็นโรคแล้วรักษาไม่หายจึงได้ตัดสินใจถูกคอเพื่อหนีโรคภัยไข้เจ็บของตนเอง

หลังจากนั้นไม่นานก็มีรายงานจากชาวบ้านว่ามีคนพบศพหญิงสาวคนหนึ่งแขวนคอตายที่อำเภอปากพนังซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดจากการที่หญิงสาวคนดังกล่าวชื่อว่านางสาววาสนาได้มีการป่วยด้วยโรคซึมเศร้าจึงได้ตัดสินใจที่จะฆ่าตัวตายแต่ในขณะเดียวกันนั้นนางสาววาสนาก็มีลูกสาวอยู่ 1 คนอายุ 11 ขวบเธอจึงได้ตัดสินใจที่จะฆ่าลูกสาวให้ตายตามพร้อมกับเธอไปด้วย

แต่เนื่องจากว่าขณะที่เธอแขวนคอลูกสาวเธอนั้นลูกสาวของเธอสลบและเสื้อเกิดขาดทำให้ลูกสาวของเธอนั้นไม่เสียชีวิตแต่ตัวนางสาววาสนาเองนั้นผูกคอตายและเสียชีวิตจึงทำให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องดำเนินการตรวจสอบศพเกี่ยวกับศพของคนผูกคอตายเสียชีวิตในจังหวัดนครศรีธรรมราชรวมกันถึง 3 ศพซึ่งเป็นการฆ่าตัวตายในวันเดียวกันนั่นเองถึงแม้จะคนละอำเภอก็ตาม

 

สนับสนุนโดย  bk8

สุดอับอาย เมื่อสาวลื่นล้มจนขาชี้ฟ้า เพราะรีบเอาถุงไก่ทอดเข้าบ้าน 

Posted on 31 พฤษภาคม 202031 พฤษภาคม 2020Categories ข่าวที่น่าสนใจTags ,

          กำลังมีคลิปออกมาวิธีสร้างความสนุกสนานให้กับผู้ใดดูคลิปดังกล่าวเป็นจำนวนมากเมื่อทางเจ้าของคลิปได้ออกมาโพสต์เรื่องราวสุดฮาของตนเองแต่ถึงแม้จะหายังไงก็มีแสงความอับอายเอาไว้ด้วยเหมือนกันซึ่งเรื่องราวในครั้งนี้หญิงสาวที่อยู่ในคลิปได้ออกมาโพสต์ภาพจากกล้องวงจรปิดหน้าบ้านของตัวเองว่าเธอได้สั่งซื้อไก่ทอดจาก Grab Bike

เนื่องจากว่าเธออยากกินไก่ทอดเป็นอย่างมากและเมื่อพนักงานนำไก่ทอดมาถึงเธอได้ชำระเงินแล้วเดินเข้าบ้านแต่ด้วยเมื่อช่วงกลางคืนที่ผ่านมาฝนตกอย่างหนักทำให้หน้าบ้านนั้นค่อนข้างลื่นและเธอไม่ทันระวังจึงทำให้เธอรื่นล้มก้นกระแทกพื้นขาชี้ฟ้าเลยทีเดียวแต่ในขณะเดียวกันเธอก็หวงแหนถุงใส่ของเธอสุดชีวิตเลยเธอบอกว่าคนล้มได้แต่ไก่ตกพื้นไม่ได้ซึ่งแคปชั่นนี้เองที่สร้างความสนุกสนานและตลกฮาให้กับคนที่ได้เข้ามาดูคลิปเป็นอย่างมาก โดยเธอยังระบุเติมอีกด้วยว่าตอนที่เธอล้มนั้น

พนักงาน Grab ไม่ตกใจมากพอได้ยินเสียงเขาร้องออกมาอย่างดังด้วยความตกใจและหลังจากที่ตั้งสติได้เขาก็บอกให้เธอใจเย็นๆแล้วถามอาการของเธอว่าเจ็บหรือไม่แต่เธอก็ยังได้ยินว่าเขาแอบหัวเราะเธออย่างเบาๆอยู่ด้วยซึ่งหลังจากที่เธอบอกว่าไม่เป็นอะไรก็นาน Grabคนดังกล่าวก็รีบขับรถออกไปทันทีซึ่งเธอคิดว่าเขาน่าจะรีบออกไปหัวเราะที่อื่นมากกว่าเพราะเขาอาจจะไม่กล้าหัวเราะต่อหน้าเธอนั่นเอง 

             สำหรับคลิปนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นที่สนุกสนานเพลิดเพลินกับคนที่ได้เห็นแต่ถ้าดูดีๆนั่นก็คือเป็นการที่เราควรจะต้องนำตัวอย่างของคลิปนี้มาเป็นอุทาหรณ์ให้กับตัวเราเองด้วยว่า ให้ระมัดระวังเวลาจะเดินหรือเวลาจะทำอะไรเพราะไม่เช่นนั้นแล้วอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ซึ่งในคลิปนี้โชคดีที่ล้มกระแทกไปแล้วหัวไม่ฟาดพื้นเพราะถ้าหากเกิดเหตุเกิดอุบัติเหตุที่ร้ายแรงกว่านี้แล้ว

ล้มหัวกระแทกพื้นอาจจะทำให้หัวแตกหรือถึงขั้นอาจจะทำให้สลบก็เป็นได้ดังนั้นเราควรจะต้องมีการระมัดระวังถ้าเกิดว่าฝนตกมีช่วงกลางคืนก็ต้องมองดูดีๆว่ามีน้ำท่วมขังอยู่หรือไม่เพื่อป้องกันเดินไปเหยียบแล้วลื่นล้มซึ่งอาจจะทำให้เราได้รับบาดเจ็บอย่างน้อยก็แค่ขัดยอกหรือถ้าอย่างมากอาจจะทำให้กระดูกหักหัวแตกเลยก็ได้

        อย่างไรก็ดี สาวที่โพสต์ก็เพียงแค่โพสต์บอกเล่าเรื่องราวชวนขำขันของเธอเพียงเท่านั้น เพราะโชคดีที่เธอเองไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากเพียงแค่เจ็บก้นเท่านั้น

 

สนับสนุนโดย  sagame เครดิตฟรี

ชายวัย 74 ฆ่าตัวตายที่บ้านพัก คราดเครียดกลัวป่วยติดโควิด-19

Posted on 19 เมษายน 202019 เมษายน 2020Categories ข่าวที่น่าสนใจTags

  เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ. รัตนบุรี  ได้รับการแจ้งจากชาวบ้านว่ามีคนก่อเหตุฆ่าตัวตายภายในบ้านพักของตนเองถึงบ้านหลังดังกล่าวอยู่ที่หมู่บ้านโคกพอก   จังหวัดสุรินทร์ และเมื่อเจ้าหน้าที่เดินทางไปยังบ้านที่เกิดเหตุเพื่อไปทำการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุซึ่งบ้านหลังดังกล่าวพบว่าเป็นบ้านที่สร้างจากปูนเป็นบ้านชั้นเดียวเมื่อเปิดประตูเข้าไปในบ้านภายในบริเวณบ้านจะมีเตียงนั่งเล่น

ซึ่งทำจากไม้ไผ่วางอยู่ตรงกลางบ้านโดยบริเวณเตียงนั้นมีร่องรอยของไปไม่ได้รับความเสียหายบางส่วนและเมื่อมองไปที่ใต้เตียงก็จะเห็นว่ามีการวางกระทะไว้อยู่ที่ใต้เตียงซึ่งภายในกระทะนั้นมีการนำเอาเสื้อผ้ามาใส่ไว้และมีร่องรอยของการถูกไฟไหม้ซึ่งคาดว่าทางเจ้าของบ้านน่าจะมีการเอาเสื้อผ้ามาเผาโดยคนเสียชีวิตนั้นเป็นผู้ชายชื่อว่าในสังข์ 

สภาพร่างกายไม่พบร่องรอยการถูกทำร้ายแต่ทำตัวเหมือนกับว่ามีการถูกไฟไหม้เลยเสียชีวิตตรงบริเวณแถวเตียงนอนซึ่งลอยของไฟไหม้นอกจากจอเผ่าเตียงแล้วยังไม่บริเวณเก้าอี้อีกด้วยซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบสภาพศพแล้วคาดว่าน่าจะตายมาแล้วไม่ต่ำกว่า 5-6 ชั่วโมงด้วยกัน จากการสอบถามน้องชายของผู้ตายชื่อว่านายสินได้ให้การว่าผู้ตายอายุ 74 ปี

รือผู้ตายอยู่ที่บ้านหลังดังกล่าวคนเดียวพอเลิกรากับภรรยาไปนานแล้วผู้ตายเคยมีลูกชายอยู่คนนึงแต่ก็เพิ่งตายไปเมื่อปี 2561 ส่วนลูกสาวของผู้ตายนั้นก็แต่งงานไปมีครอบครัวอยู่ที่จังหวัดอื่นโดยนายสินเราให้กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจฟังว่าวันที่เกิดเหตุนั้นช่วงเวลาประมาณตอน21:00 น. ตนเองกำลังนั่งเล่นอยู่กับผู้ตายโดยมีการพูดคุยกันตามปกติ อยู่ดีๆพูดไปก็บอกว่ามีคนจะมาฆ่าเขาซึ่งตนเองยังบอกเลยว่าคิดมากไม่มีใครมาฆ่าหรอกเคยคุยกันอยู่สักพักก็แยกย้ายกันไปนอน

โดยผู้ตายได้กลับไปนอนที่บ้านของตนเองส่วนในสิ่งนั้นก็ไปนอนที่ห้างเพราะต้องไปนอนเฝ้านาและเฝ้าวัวเพราะตอนเช้าเดินก็เดินทางมาที่บ้านของพี่ชาย จึงทำให้รู้ว่าพี่ชายฆ่าตัวเองตายแล้วโดยทำการจุดไฟรมควันตนเองหลังจากนั้นในสิ่งก็ได้เดินทางไปบอกญาติแถวหมู่บ้านแล้วก็ได้โทรตามเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อมาตรวจสอบ

ซึ่งทางเพื่อนบ้านก็ได้มีการเล่าให้กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจฟังว่าผู้ตายเพิ่งเดินทางกลับมาจากการไปเยี่ยมลูกสาวที่ต่างจังหวัดตรังจากนั้นก็ถูกเจ้าหน้าที่กลุ่มอสม. ให้กักตัวอยู่ที่บ้านเป็นระยะเวลา 14 วันซึ่งคาดว่าผู้ตายน่าจะเกิดจากความเครียดที่ไม่ได้ออกไปเจอพบปะผู้คนทำให้คิดมากอีกทั้งผู้ตายอาจจะกลัวว่าตนเองจะติดเชื้อไวรัสโคโรนาก็เลยทำให้คิดสั้นฆ่าตัวตาย

เหตุการณ์หลานไปบุกยิงอาเขย

Posted on 12 เมษายน 202012 เมษายน 2020Categories ข่าวที่น่าสนใจTags

 มรดกเลือกหลานยิงอาเขยเพราะไม่พอใจที่อาจะรื้อถอนบ้านของปู่

           มีเหตุการณ์หลานไปบุกยิงอาเขยโดยเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดอุดรธานีตำรวจ สภ. หนองหาน ได้รับแจ้งว่ามีผู้ถูกยิง ได้รับบาดเจ็บสาหัสหลังจากนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เดินทางไปยังบ้านที่เกิดเหตุพบผู้บาดเจ็บชื่อว่าคุณสมศักดิ์ในสภาพมีการถูกยิงไปหลายนัดซึ่งคนที่ยิงนายสมศักดิ์นั้นคือหลานเขยของนายสมศักดิ์เองชื่อว่านายธวัชชัย  ซึ่งความขัดแย้งระหว่างอาและหลานเขยนั้นเกิดมาจากเหตุการณ์ที่นายสมศักดิ์และภรรยาได้พาช่างมาที่บ้านซึ่งเป็นมรดกของคุณปู่ของนายธวัชชัยหลังจากนั้นก็พยายามให้ช่างทำการรื้อถอนบ้านซึ่งเมื่อนายธวัชชัยถามเหตุผลว่าทำไมนายสมศักดิ์ต้องมาทำการรื้อถอนบ้านของปู่

แต่นายสมศักดิ์ไม่มีเหตุผลที่ดีพอที่จะตอบนายธวัชชัยได้ทำให้นายธวัชชัยรู้สึกโมโหจึงได้นำปืนที่เตรียมมายิงใส่นายสมศักดิ์จนได้รับบาดเจ็บลูกกระสุนปืนเข้าไป 3 นัดด้วยกัน เหตุการณ์ในครั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมตัวนายธวัชชัยไว้ได้โดยนายธวัชชัยได้ให้การกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าเป็นผู้ลงมือก่อเหตุจริง

โดยไม่พอใจที่นายสมศักดิ์จะมาทำการรื้อถอนบ้านของปู่เออเขาเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่าในระหว่างช่วงเช้าที่นายสมศักดิ์และภรรยาอยู่ที่บ้านตนเองได้เดินทางไปหานายสมศักดิ์และภรรยาเพื่อสอบถามถึงเรื่องราวที่เห็นนายสมศักดิ์นำช่างมาที่บ้านของปู่แล้วให้ช่างทำการรื้อถอนบ้านซึ่งนายธวัชชัยเห็นว่านายสมศักดิ์กำลังจะยึดเอามรดกของปู่ไปจึงทำให้รู้สึกไม่พอใจ ก็ไปสอบถามแม่ของผู้ก่อเหตุก็ได้ความว่าบ้านหลังดังกล่าวนั้นเป็นบ้านที่ญาติพี่น้องทุกคนได้มีการรวมเงินกันสร้างเพื่อให้ปู่กับย่าอยู่อาศัยหลังจากที่ผู้เสียชีวิตได้มีการโอนชื่อให้ภรรยาของนายสมศักดิ์เป็นเจ้าของ

ดังนั้นหลังจากที่ภรรยาของนายสมศักดิ์ได้รับมรดกไปก็ได้ให้ช่างมาทำการรื้อถอนเพื่อที่จะสร้างบ้านหลังใหม่โดยหากสร้างบ้านหลังใหม่นี้แล้วก็จะไม่ให้ญาติพี่น้องคนไหนมาอยู่อาศัยด้วยทำให้ญาติพี่น้องทุกคนต่างไม่พอใจและไม่ต้องการให้มีการรื้อถอนแต่ทางด้านนายสมศักดิ์ยืนยันที่จะมีการรื้อถอนบ้านเพราะถือว่าบ้านหลังนี้ผู้เป็นปู่ได้มีการยกให้กับภรรยาของตนเองแล้วเมื่อมีการนำช่างเข้ามาเพื่อทำการรื้อถอนจึงเป็นสาเหตุให้นายธวัชชัยเกิดความไม่พอใจและจึงได้เตรียมปืนมาก่อเหตุยิงในสมศักดิ์จนนำมาสู่การจับกุม 

        เหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นปัญหาเรื่องมรดกในครอบครัวซึ่งหลายครอบครัวก็มักจะพบปัญหาแบบนี้ค่อนข้างเยอะแต่ก็อาจจะต้องมีการพูดจาตกลงกันด้วยดีเพราะหากว่ามีการใช้แต่อารมณ์ก็จะนำมาซึ่งการสูญเสียและผลที่ได้ก็อาจจะทำให้อีกฝ่ายเสียชีวิตอีกฝ่ายหนึ่งก็อาจจะติดคุกได้ 

ชายคลั่งกระทืบพลทหารดับคาห้องขัง

Posted on 1 เมษายน 20201 เมษายน 2020Categories ข่าวที่น่าสนใจTags ,

ชายคลั่งกระทืบพลทหารดับคาห้องขังญาติเศร้าเตรียมตัวมารับศพ

 เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ. น้ำพองจังหวัดขอนแก่น คำถามของญาติของผู้เสียชีวิตรวมถึงตอบคำถามของประชาชนที่ได้ทราบข่าวนี้และต้องการอยากรู้ความจริงเป็นจำนวนมากว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในห้องขัง ของ สภ. น้ำพอง  ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดนายนิวัฒน์อายุประมาณ 30 ปีได้ไปก่อเหตุใช้มีดไปฟันเด็กผู้ชายอายุ 14 ปี ที่เขานอนเล่นอยู่บนเปลจนเขาบาดเจ็บสาหัส ซึ่งเด็กชายอายุ 14 ปีนี้กำลังนอนเล่นมือถืออยู่แล้วนายวิวัฒน์ก็เดินเข้าไปหาพร้อมกับถามหาน้าชายของเด็ก เด็กก็ตอบแล้วนะชายของตัวเองไม่อยู่หลังจากนั้นนายนิวัฒน์ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงนี่ขึ้นมาจะฟันเด็กจนเด็กต้องวิ่งหนี

และใช้แขนป้องจนเป็นสาเหตุให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่นายนิวัฒน์ทำร้ายเด็กเรียบร้อยแล้วก็ได้วิ่งหนีไปหลังจากนั้นก็ไปขโมยรถจักรยานยนต์ของคนที่อยู่บริเวณนั้นขับออกไป และเมื่อทางพ่อของเด็กไปแจ้งความที่สถานีตำรวจก็สามารถจับกุมตัวได้ในที่สุดโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวไปฝากขังไว้ในห้องขัง ของ สภ.น้ำพอง ที่จังหวัดขอนแก่นบังเอิญว่าในขนาดนั้น

มีพลทหารคนหนึ่งที่ถูกจับมาคุมขังเอาไว้ซึ่งสาเหตุของความผิดของพลทหารที่ถูกนำมาคุมขังเนื่องจากว่าญาติได้มาขอร้องให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจับตัวพลทหารคนดังกล่าวมาสงบสติอารมณ์ในห้องขังเพราะได้ไปก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับญาติจึงอยากให้พลทหารไม่มีเวลาไตร่ตรองคิดจึงนำมาฝากไว้ที่ห้องขังขอ  งสภ. น้ำพอง  

ซึ่งพลทหารคนนี้มีอายุแค่เพียง 22 ปีเท่านั้นเองแล้วนายวิวัฒน์คนที่ก็ถูกนำมาขังในห้องขังเดียวกับพลทหารคนดังกล่าว และเมื่อนายนิวัฒน์เข้ามาอยู่ในห้องขังเดี่ยวกับคนทหารก็ไปทำร้ายร่างกายพลทหารจนถึงแก่ความตายคาห้องขัง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบว่านายวิวัฒน์ได้มีการเตะพลทหารวัย 22 ปีจนสลบหลังจากนั้นก็มีการซื้อซ้ำอีกหลายครั้งแล้วก็ลากร่างของทหารคนดังกล่าวไปทิ้งไว้ในห้องส้วมภายในห้องขัง ซึ่งต่อมาพลทหารคนดังกล่าวเสียชีวิต ซึ่งทางญาติของพลทหารคนดังกล่าวไม่ออกมาบอกว่าไม่สามารถยอมรับและไม่สามารถทำใจได้กับการสูญเสียในครั้งนี้

ซึ่งญาติญาตินำร่างของผู้เสียชีวิตมาประกอบพิธีทางศาสนาที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่นโดยมีพ่อกับแม่ของนายนิวัฒน์ผู้ก่อเหตุร่วมขอโทษขอขมาศพ และเอาเงินมาร่วมทำบุญด้วย และในขณะเดียวกันพ่อของพลทหารผู้เสียชีวิตก็ได้มีการแจ้งความเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในวันดังกล่าวว่าละเลยการปฏิบัติหน้าที่จนมีผลทำให้ลูกชายของเขาเสียชีวิต 

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  เว็บพนันออนไลน์

นายพันธ์ยศประธานพรรคภราดรภาพออกมาชี้แจง

Posted on 29 มีนาคม 202026 มีนาคม 2020Categories ข่าวที่น่าสนใจTags

นายพันธ์ยศประธานพรรคภราดรภาพออกมาชี้แจงเรื่องหน้ากากอนามัยบอกว่านายบอยพูดจาโอเวอร์

      จากกรณีที่มี Pages ดังเพจหนึ่งได้ออกมาแชร์เกี่ยวกับเรื่องของหน้ากากอนามัยที่กำลังขาดแคลนอยู่ในขณะนี้ โดยได้ออกมาบอกว่ามีคนกักตุนหน้ากากอนามัยไว้เพื่อนำสินค้าออกไปขายยังประเทศจีนและยังมีการเปิดเผยหลักฐานทั้งคลิปและรูปภาพรวมถึงข้อความที่บ่งบอกว่ามีการกระตุ้นหน้ากากอนามัยจริงและสถานที่ที่ทำการกระตุ้นอากาศอนามัยนั้นเมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นอาคารเดียวกับที่มีการตั้งพรรคภราดรภาพซึ่งมีนาย พันธ์ยศเป็นประธานของพรรค ซึ่งในพันธ์ยศ ได้มาออกรายการโหนกระแสเพื่อชี้แจงข้อมูลดังกล่าวว่าสำหรับรูปภาพที่มีการโพสต์อยู่นั้นเป็นรูปภาพที่เคยเกิดขึ้นจริง

แต่เป็นภาพเมื่อนานมาแล้วตั้งแต่เดือนมกราคมก่อนที่จะมีการประกาศพอเราบอต่อการควบคุมหน้ากากอนามัยซึ่งตอนนั้นในพันธ์ยศรับเป็นในหน้าหาหน้ากากอนามัยมาขายแต่ จำนวนหน้ากากอนามัยไม่ได้มากเท่ากับที่ไหนบอยมีการอัดคลิปไว้แน่นอนซึ่งในตอนนั้นที่มีการกระตุ้นหน้ากากอนามัยเอาไว้ส่งขายให้กับประเทศจีนเพราะว่าต้องการสร้างรายได้ให้เข้ามากับประเทศและไม่ได้มีการขายแพงแต่อย่างใดโดยกำไรจากการขายหน้ากากอนามัยในพันยศบอกว่าคิดแค่เพียงกำไรชิ้นละ 50 สตางค์เท่านั้นไม่ได้กำไรมากมาย

อย่างที่นายบอยได้มีการพูดเอาไว้ที่สำคัญสินค้าดังกล่าวได้มีการจำหน่ายออกไปหมดแล้วก่อนที่จะมีการประกาศใช้กฎหมายหน้ากากอนามัยและตอนนี้ตนเองก็มีหน้ากากอนามัยไว้ครอบครองไม่ถึง 10,000 ชิ้น  ส่วนในคลิปที่มีการเห็นว่ามีกล่องหน้ากากอนามัยจำนวนมากนำมาเก็บไว้ที่อาคารพรรคภราดรภาพนั้นนั้นเป็นการนำของมาจัดใหม่เพื่อทำการส่งให้ประเทศจีนในช่วงเดือนมกราถึงกุมภาซึ่งหลังจากมีการส่งออกไปเรียบร้อยแล้วก็ไม่มีสินค้าที่จะส่งอีกแล้วเนื่องจากสินค้าในประเทศไทยขาดแคนยืนยันได้ว่าตนเองไม่ได้เป็นผู้กระตุ้นหน้ากากอนามัยเอาไว้เพื่อหวังเก็งกำไรแน่นอน

ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ในพันธ์ยศยังได้กล่าวขอโทษกับประชาชนคนไทยทุกคนซึ่งระหว่างที่อยู่ในรายการโหนกระแสทั้งทนายรณรงค์และอาจารย์อ๊อดต่างก็ออกมาต่อว่านายพันธ์ยศกันมากมายว่าถ้าหากไม่กลับฝนหน้ากากอนามัยนำไปขายให้กับประเทศจีนทั้งโรงพยาบาลและประชาชนคนไทยทุกคนก็จะไม่ขาดแคลนหน้ากากอนามัยเหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้และเมื่อมีการสอบถามว่าหน้ากากอนามัย 200ล้าน ชิ้นที่นายบอยประกาศไว้นั้นอยู่ที่ไหนแต่ในพันธ์ยศยืนยันว่าตนเองไม่รู้ว่าหน้ากากอนามัยเรานั้นอยู่ไหนและยืนยันว่าตนเองไม่เกี่ยวกับหน้ากากอนามัยที่หายไปทั้งสิ้น

เมียเศร้าผัวเสียชีวิตโทรไปทวงเงินแค่เพียง 1,000 บาท

Posted on 22 มีนาคม 202022 มีนาคม 2020Categories ข่าวที่น่าสนใจTags

เหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดลำพูน ผู้เสียชีวิตชื่อว่าคุณสิรากร อายุ 25 ปี เจอตัวถูกอาวุธมีดและกรรไกรตัดหญ้าแทงจนเสียชีวิต โดยตอนที่กู้ภัยเดินทางไปตรวจสอบ ศพของนายศิวกรพบว่าถูกแทงตรงบริเวณด้านราวนมซ้ายจำนวน 1 แผล ด้วยอาวุธมีดทำครัวและขณะเดียวกัน ศพของนายศิวกรก็มีกรรไกรตัดหญ้าวางอยู่ด้วย

ซึ่งเมื่อนักข่าวได้ไปสอบถามกับคนที่เห็นเหตุการณ์ ว่าเกิดอะไรขึ้น สถานที่เกิดเหตุเป็นเพียงห้องเช่าเท่านั้น และเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางไปถึงคนร้ายที่ก่อเหตุแทงคุณศิวกรเสียชีวิตก็ยืนรอมอบตัวอยู่ตรงที่ห้องเช่าและตรงจุดเกิดเหตุนั่นเองไม่ได้หนีไปไหน โดยผู้ก่อเหตุชื่อว่านายณัฐอายุ 43 ปีด้วยเขาสารภาพว่าเขาเป็นคนแทงในศิวกรเอง ซึ่งเขาให้เหตุผลว่าคุณศิวกรเป็นคนบุกรุกเข้ามาหาเขาก่อน ในวันที่นายศิวกรเดินทางมานายศิวกรนำกรรไกรตัดหญ้ามาด้ว

ยเมื่อมาถึงก็นำกันไปตะกร้ามาทุบที่กระจกหน้าต่างซึ่งตอนนั้นเองในนัดกำลังนั่งอยู่กับแฟนสาวในห้องพัก ซึ่งปัญหาเกิดจากที่แฟนสาวของนายนัทได้ไปติดเงินนายศิวกรจำนวน 1,000 บาท นายศิรากรก็เลยเดินทางมาทวงเงินนางสาวอังคณาแฟนสาวของคนก่อเหตุ ซึ่งตอนที่นายศิวกรเดินทางมาหานางสาวอังคณานั้นได้ถือกรรไกรตัดหญ้ามาด้วย และนายศิวกรยังเดินทางมาทวงหนี้นางสาวอังคณาในช่วงเวลาตอนกลางคืนลักษณะท่าทางเหมือนจะมาคุกคามนางสาวอังคณาแฟนสาวของคนร้าย ทำให้นางสาวอังคณากลัวจึงไม่ออกมาแต่ในนั้นเป็นคนออกมาแทน จึงได้มีปากเสียงกันเกิดขึ้นเนื่องจากว่านายนัทไม่พอใจที่นายศิวกรเดินทางมาทวงหนี้ตอนกลางคืนแถมยังพกอาวุธมาด้วย

หลังจากนั้นก็เกิดการต่อสู้กันซึ่งในนัดได้แจ้งกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าไม่ได้ตั้งใจที่จะใช้มีดแทงในศิวกรแต่เนื่องจากว่าเกิดการแย่งกันขึ้นทำให้มือไปโดนมีดแล้วแทงไปโดนนายศิวกรจนถึงแก่ความตาย ซึ่งในนัดยังได้กล่าวได้ว่าตอนที่แทงเข้าไป 1 แผลนั้นในศิวกรยังไม่ตายยังสามารถเดินไปได้อีกหน่อยนึงก่อนที่จะล้มลง

ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการจับกุมนายนัดไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วซึ่งในนัดก็ให้การรับสารภาพว่าเป็นคนลงมือแทงจริงแต่ไม่ได้เจตนาแต่เพราะนายศิวกรตั้งใจจะมาทำร้ายแฟนสาวเพราะนำอาวุธมาด้วยตนจึงต้องทำการป้องกันตัวและยืนรอเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ในที่เกิดเหตุเพื่อเป็นการยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเอง แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อมากนักเพราะว่าเงินแค่ 1,000 บาททางนายศิวกรไม่จำเป็นต้องมาทวงอย่างเร่งด่วนในช่วงเวลากลางคืนแผนการทวงเงินก็ยังใช้อารมณ์รุนแรงซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจมองว่าสาเหตุน่าจะมาจากการหึงหวงกันมากกว่าแต่ทั้งนี้ต้องรอการสืบสวนเพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่ง 

เม้าท์แรงสนามบินสุวรรณภูมิไม่มีที่คัดกรองเชื้อไวรัสโคโรน่า

Posted on 21 มีนาคม 202021 มีนาคม 2020Categories ข่าวที่น่าสนใจTags ,

ตอนนี้ข่าวที่แรงที่สุดในโลกโซเชียลของเราก็คือข่าวที่มีการระบุว่าที่สนามบินสุวรรณภูมิไม่มีจุดคัดกรองเชื้อไวรัสโคโรน่าอย่างที่รัฐมนตรีหรือรัฐบาลได้ออกมาประกาศไว้ว่ามีระบบคัดกรองที่ดีที่สุดอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิเพื่อคัดกลุ่มคนที่คาดว่าน่าจะติดเชื้อไวรัสโคโรน่าแล้วแยกตัวเพื่อนำไปส่งโรงพยาบาล

โดยคราวนี้เริ่มมาจากที่มีนักท่องเที่ยวที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศได้เข้ามาทำการโหลดข้อมูลลง Facebook ว่าตนเองเดินทางกลับมาจากประเทศที่เป็นกลุ่มเสี่ยงครั้งแรกที่เข้ามาถึงประเทศไทยคิดว่าอาจจะต้องเสียเวลาในการถูกตรวจคัดกรองหรือตรวจค้นเป็นระยะเวลานานแต่เมื่อมาถึงจริงๆกับไม่พบว่ามีการคัดกรองใดๆทั้งสิ้นเธอสามารถลงจากเครื่องบินและไปรับกระเป๋าและเดินทางออกนอกสนามบินได้เลยซึ่งข้อความเหล่านี้ได้มีนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเขียนสนับสนุนความคิดของเธอไว้ด้วยเนื่องจากว่าพวกเขาเองก็เดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยงเช่นเดียวกัน

โดยเมื่อมาถึงที่ประเทศไทยไม่มีจุดตรวจเอกสารใดๆทั้งสิ้นมีให้กรอกข้อมูลแค่ว่าเดินทางมาจากไหนมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยงหรือไม่เท่านั้นเองซึ่งข้อมูลตรงนี้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติคิดว่าหากใครจะกรอกข้อมูลแบบไหนก็ย่อมทำได้อยู่แล้วทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้มีการมาตรวจพาสปอร์ตหรือมาตรวจอุณหภูมิร่างกายใดๆ

กับนักท่องเที่ยวทั้งสิ้นโดยเครื่องบินลำที่เขาเดินทางมามีนักท่องเที่ยวนั่งมา 300 กว่าคนซึ่งทุกคนไม่มีใครได้รับการตรวจเชื้อหาไวรัสโคโรน่าเลยสักคนเดียวซึ่งนั่นทำให้เห็นว่าการทำงานเกี่ยวกับการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรน่าของประเทศไทยไม่ได้มีการดำเนินการใดๆเหมือนที่เคยมีการกล่าวอ้างเลย

หลังจากที่มีข้อความนี้หลุดออกมาโลกโซเชียลก็พากันวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากถึงการทำงานของสนามบินสุวรรณภูมิแต่ก็มีทางเจ้าหน้าที่ของสนามบินได้ออกมาบอกถึงวิธีการคัดกรองของที่สนามบินว่าจะใช้เป็นการตั้งอินฟราเรดไว้ที่ประตูทางเข้าซึ่งจะทำให้นักท่องเที่ยวไม่ทราบว่าตนเองได้รับการตรวจหาเชื้อเรียบร้อยแล้วรวมถึง

ทางสนามบินสุวรรณภูมิได้มีการติดตั้งกล้อง CCTV ซึ่งกล้องนี้สามารถที่จะทำการตรวจภูมิร่างกายของมนุษย์ได้หากใครที่มีอุณหภูมิร่างกายสูงจะมีเจ้าหน้าที่เดินออกไปเพื่อนำตัวแยกออกมาหาซื้ออีกครั้งหนึ่งแต่ถ้าเกิดว่าใครที่อุณหภูมิร่างกายปกติก็จะผ่านออกไปยังด้านนอกสนามบินได้เลยโดยที่ทางนักท่องเที่ยวเองก็จะไม่ทราบว่าทางสนามบินมีการตรวจเรียบร้อยแล้วซึ่งตรงนี้เป็นการเพิ่มความสะดวกและรวดเร็วในการดำเนินงานของทางเจ้าหน้าที่สนามบินและไม่เป็นการเสียเวลาของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวที่ประเทศไทยด้วย 

 

 

สนับสนุนโดย  rb88